ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2560


       เนื่องจากเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเพิ่มการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนในหลายรายการ ซึ่งจะทำให้คนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเสียภาษีน้อยลงในปีภาษี 2560

      โครงสร้างภาษีใหม่ปี 2560 นี้จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างและมีผลกระทบกับมนุษย์เงินหรือ อาชีพอิสระหรือไม่มาดูกันเลยครับ




ปรับปรุงค่าใช้จ่าย
      เริ่มจากค่าลดหย่อนที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าตัวกันเลยทำให้เราสามารถนำไปใช้ลดหย่อนและค่าใช้จ่าย ทำให้มีโอกาสขอคืนภาษีได้มากขึ้น
1. เพิ่มการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

2. ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าลิขสิทธิ์ ร้อยละ 40แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ขยายเพิ่มให้ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าวแต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้


ปรับปรุงค่าลดหย่อน
1. เพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
2. เพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
3. กรณีคู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท
4. เพิ่มค่าลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 15,000 บาท (ไม่เกิน 3 คน) เป็นคนละ 30,000 บาท ไม่จำกัดจำนวน
5. ยกเลิกค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร จากเดิมให้หักลดหย่อนได้คนละ 2,000 บาท
6. กองมรดกเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
7. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท ปรับใหม่เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท


อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่

แล้วยังได้มีการปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ โดยจากเดิมมีรายได้สุทธิ 4,000,001 บาทขึ้นไปต้องเสียภาษี 35% ปรับเป็นต้องมีรายได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป ดังนี้



อีกทั้งได้มีการปรับปรุงเงินได้พึงประเมินบางส่วนด้วย

ปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี

1. กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว
- หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท
- หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 200,000 บาท

2. กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน
- หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท

3. กรณีกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

4. กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท


       โครงสร้างภาษีเกณฑ์ดังกล่าวนี้จะเริ่มบังคับใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2560 เป็นต้นไป (ยื่นแบบภาษีในปี 2561) โดยต้องมีรายได้เดือนละ 26,000 บาทขึ้นไปจึงจะเริ่มเสียภาษี กรณีมีรายได้เฉพาะเงินเดือนเท่านั้น และหักลดหย่อนส่วนตัวโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนรายการอื่น



แหล่งอ้างอิง
กรมสรรพากร
www.rd.go.th


ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2560

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559
0 Comments

การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ต้องทำอย่างไรมาดูกันเลย



ระยะเวลาที่สามารถไปลงทะเบียนได้
ตั้งแต่ วันที่ 15 กรกฎาคม 2559 - วันที่ 15 สิงหาคม 2559


สามารถลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ได้ที่ไหนบ้าง

1. ธนาคารออมสิน
2. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)
3. ธนาคารกรุงไทย


หลักฐานที่ต้องใช้
ใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น

ส่วนวิธีการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยสามารถทำได้ 2 วิธี

วิธีที่ 1 กรอกแบบลงทะเบียน ณ ธนาคาร ให้ดำเนินการดังนี้

1. ยื่นบัตรประชาชนให้แก่เจ้าหน้าที่ของธนาคาร
2. รับแบบลงทะเบียนจากเจ้าหน้าที่ธนาคาร แล้วกรอกแบบลงทะเบียนพร้อมทั้งลงลายมือชื่อด้วยตนเอง
3. เจ้าหน้าที่ธนาคารจะให้เอกสาร (เป็นหางตั๋วแผ่นเล็ก ๆ) ให้ผู้ลงทะเบียนเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานการลงทะเบียน

วิธีที่ 2 กรอกแบบลงทะเบียนจากสถานที่อื่น แล้วจึงนำมายื่นที่ธนาคาร ให้ดำเนินการดังนี้

1. ดาวน์โหลดแบบลงทะเบียนจากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
2. กรอกแบบลงทะเบียนพร้อมทั้งลงลายมือชื่อด้วยตนเอง
3. ติดต่อที่สาขาของธนาคาร โดยยื่นบัตรประชาชนพร้อมทั้งแบบลงทะเบียนตามข้อ 2 ให้แก่เจ้าหน้าที่ของธนาคาร
4. เจ้าหน้าที่ธนาคารจะให้เอกสาร (เป็นหางตั๋วแผ่นเล็ก ๆ) ให้ผู้ลงทะเบียนเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานการลงทะเบียน
ดาวน์โหลดแบบลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย คลิ๊กที่นี่

      เมื่อลงทะเบียนไปแล้ว กรมสรรพากรจะเป็นผู้จัดเก็บข้อมูลไว้ และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป ผู้ลงทะเบียนสามารถเข้าไปตรวจสอบผลการลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร โดยกรอกหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของตนเองเข้าไป


เรื่องต้องรู้ในการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ต้องทำอย่างไรบ้าง


ดูกันชัดๆ!! น้ำตาลที่ผสมในเครื่องดื่มที่ขายในท้องตลาด ใส่น้ำตาลเท่าไหร่กันบ้าง?




            เรามาดูปริมาณน้ำตาลทรายในแต่ละผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดังๆ ขายดี และมีจำหน่ายในท้องตลาด…ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการกินหวานของคนทั่วโลกอยู่ที่ 11 ช้อนชาต่อคนต่อวัน และปริมาณน้ำตาลระดับพอดีๆ ที่ร่างกายรับได้ในแต่ละวันนั้นอยู่ที่ 6 ช้อนชา ต่อคนต่อวัน!!!

น้ำผลไม้



            ทุกวันนี้ “ของหวาน” ที่เคยถือเป็นของสูง ของดี ของหายาก มีให้กินแค่บางโอกาสบางเทศกาล กลายเป็นของหาง่าย และหาได้ทุกที่ กินได้ทุกวันวันละหลายๆ ครั้ง หรือกินทั้งวันก็ยังได้เพราะกรรมวิธีการผลิตน้ำตาล และสารให้ความหวานอีกนานาชนิด กลายเป็นเทคโนโลยีที่ทำได้ง่ายขึ้น และถูกลงกว่าเดิมมาก สิ่งที่กลายเป็นของดีและหายากยิ่งกว่าในวันนี้ก็คือ ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจไม่ให้กินหวานเกินพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลแห่งของขวัญ ความสุข และการเฉลิมฉลอง อย่างช่วงปีใหม่ที่มาถึงในเดือนนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนไทยซึ่งมีพฤติกรรม “กินหวานล้ำหน้านานาประเทศ” ด้วยสถิติการกินน้ำตาลเฉลี่ย 16 ช้อนชา ต่อคน ต่อวัน



            ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการกินหวานของคนทั่วโลกอยู่ที่ 11 ช้อนชาต่อคนต่อวัน และปริมาณน้ำตาลระดับพอดีๆ ที่ร่างกายรับได้ในแต่ละวันนั้นอยู่ที่ 6 ช้อนชา ต่อคนต่อวัน!!!



ไทยแลนด์ แดนติดหวาน
เมื่อพิจารณาคนไทยในทุกๆ กลุ่มอายุกับการบริโภคน้ำตาล พบว่า ในปี พ.ศ.2544 คนไทยบริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ยที่จำนวน 2 9.05 กิโลกรัมต่อคนต่อปีหรือประมาณ 2 .4 กิโลกรัมต่อคนต่อเดือน หรือเท่ากับวันละกว่า 16 ช้อนชาต่อคน เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2528 ที่คนไทยแต่ละคนบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 12.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณวันละ 7 ช้อนชาต่อคน นับได้ว่าอัตราการบริโภคน้ำตาลในประชากรไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว ภายในช่วงเวลาเพียง 16 ปี เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทย ที่มีค่าเฉลี่ยวันละ 16 ช้อนชาต่อคนต่อวัน กับค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำตาลของโลก ที่มีค่าเฉลี่ย 11 ช้อนชาต่อคนต่อวัน จึงนับได้ว่า “คนไทยเป็นนักกินหวานที่สุดระดับหนึ่ง” และเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อการบริโภคในแต่ละวัน ที่ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ก็เท่ากับว่าคนไทยเรากินหวานกินพอดีมานานแล้วและนับวันก็ยิ่งกินหวานหนักข้อขึ้น จนเกินมาตรฐานอันควรไปมากกว่าหนึ่งเท่าตัวแล้ว

นมเปรี้ยว น้ำอัดลม และชา



มันมากับนมเปรี้ยวและน้ำอัดลม
ในปัจจุบัน พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยและคนทั่วโลกอยู่ท่ามกลางแรงกระตุ้นทางการตลาด และสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้มีแนวโน้มการบริโภคน้ำตาลมากขึ้น แหล่งสำคัญหนึ่งที่นำไปสู่การได้รับน้ำตาลเกินพอดี รวมทั้งการกินหวานจนติดเป็นนิสัย ก็คือ เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม และนมพร้อมดื่มโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นมเปรี้ยว”





       ที่ผ่านมา ผลการสำรวจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม ทั้งชนิดยูเอชทีและพาสเจอร์ไรส์ โดยบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ในช่วงเดือนกันยายน 2543 – สิงหาคม 2 544 พบว่า นมรสหวานและรสอื่นๆ ที่เติมน้ำตาล มียอดขายรวมมากที่สุด รองลงมา คือ นมเปรี้ยว และน้อยที่สุดคือ นมรสจืด(ร้อยละ 39, 36.6
และ 2 4.3 ตามลำดับ)มองมาที่กลุ่มเยาวชน พบว่า ปัจจุบันอัตราการบริโภคน้ำตาลของเด็กไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แหล่งที่มาสำคัญคือ เครื่องดื่ม น้ำหวานน้ำอัดลม



         ข้อมูลจากกองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ศึกษาสถานการณ์การจำหน่ายน้ำอัดลมในโรงเรียนพื้นที่นำร่อง 19 จังหวัด ที่เข้าร่วมโครงการเด็กไทยไม่กินหวาน พบว่าร้อยละ 20 ของโรงเรียนประถมศึกษาจำหน่ายน้ำอัดลม และเด็กดื่มน้ำอัดลม เฉลี่ยวันละ  1 ครั้ง และสูงสุด 3 ครั้ง ปริมาณเฉลี่ย 200 มิลลิลิตร หรือเกือบ 1 กระป๋อง ทำให้ได้รับน้ำตาลเฉลี่ย 29.6 กรัม หรือ 7.4 ช้อนชาต่อครั้ง เกินกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา โดยน้ำอัดลมชนิดน้ำดำ (เป๊ปซี่/โค้ก) เป็นน้ำอัดลมที่เด็กชอบดื่มมากที่สุดถึง ร้อยละ 72 ซึ่งอาจจะทำให้ที่ส่งผลถึงปัญหาสุขภาพ อาทิ โรคฟันผุ ภาวะโภชนาการเกินที่นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ เมื่ออายุมากขึ้น




        นอกจากนี้ นักวิชาการจากเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคขนมและเครื่องดื่มของเด็กใน 2 4 ชั่วโมง จากเด็ก 5,764 คน ใน 143 โรงเรียน และศูนย์เด็กเล็ก 9 แห่ง ใน 2 4 จังหวัด พบว่าเด็กบริโภคขนม/เครื่องดื่มทั้งสิ้น 27,771 รายการ หรือเฉลี่ย 3.97 รายการ เมื่อนับตามบรรจุภัณฑ์ (ชิ้น/ห่อ/ถุง/กล่อง ฯลฯ) มีทั้งสิ้น29,540 บรรจุภัณฑ์ หรือเฉลี่ย 5.12 บรรจุภัณฑ์/คน   เมื่อทำการสำรวจจากรายการที่มีการบริโภคสูงสุด คือ เครื่องดื่มโดยเด็กดื่มเครื่องดื่มอย่างน้อย         1 รายการ (ร้อยละ 84) รองลงมาคือ ขนมถุงกรุบกรอบ ร้อยละ 48.4 และลูกอม/ลูกกวาด ร้อยละ 35.4
      ผลการศึกษานี้ได้ระบุปริมาณน้ำตาลอย่างละเอียดว่า เครื่องดื่มหมวดนมเปรี้ยวขนาด 450 มิลลิลิตร ยี่ห้อเมจิ ไพเกน พบว่ามีปริมาณน้ำตาล 14.63 ช้อนชา, บีทาเก้น รสนมสด 12.95 ช้อนชา,บีทาเก้น รสส้ม 12.93 ช้อนชา และหมวดโยเกิร์ต พบว่า เมจิรสวุ้นมะพร้าว ปริมาณ 150 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 9.28 ช้อนชา, เมจิ รสธัญญาหาร ขนาด 150 มิลลิลิตร มี 8.5 ช้อนชา ขณะที่น้ำอัดลมกลุ่มน้ำดำ ขนาด 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 8-8.5 ช้อนชาเท่ากัน


        เรียกได้ว่า แค่ดื่มนมเปรี้ยว 1 ขวด ก็รับน้ำตาลเกินปริมาณพอดีของที่ควรได้รับทั้งวันแล้ว…แล้วเมื่อรู้แบบนี้แล้วก็ควรลดเครื่องดืมเหล่านี้ลงสักนิดก็ยังดีเพื่อสุขภาพนะครับ^^














น้ำตาลที่ผสมในเครื่องดื่มยอดฮิตที่ขายในท้องตลาดนั้นมีมากกว่าที่คุณคิด!

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559
0 Comments

สูดควันบุหรี่บ่อย ระวังลูกน้อย “หูดับ”


     ยิ่งศึกษาก็ยิ่งพบว่าบุหรี่มีโทษต่อร่างกายสารพัดนะคะ…เช่นเดียวกับผลการวิจัยจากหห้องปฏิบัติการ Starkey Laboratories รัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่สูดดมควันบุหรี่จากคนอื่นบ่อยๆ มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินไม่ต่างกับคนที่สูบบุหรี่มากนัก โดยทุกๆ 1 ใน 10 คนที่สูดควันบุหรี่ (นักสูบมือสอง) จะสูญเสียการได้ยินในคลื่นความถี่ต่ำถึงกลาง ซึ่งเป็นช่วงความถี่ของการสนทนา ทำให้มีปัญหาในการสื่อสารได้


     โดยงานวิจัยนี้สอดคล้องกับการสำรวจสุขภาพของเด็กนักเรียนที่ประเทศแคนาดา ที่พบว่า 1 ใน 4 ของเด็กประถมต้น ป่วยด้วยโรคหูชั้นกลางอักเสบ และเมื่อศึกษากลับไปที่บ้านของพวกเขา พบว่ามีพ่อแม่สูบบุหรี่ทั้งสิ้น และควันกับฝุ่นละอองที่ติดตามเสื้อผ้าหรือของใช้ในบ้านก็จะเข้าสู่ตัวเด็กผ่านการหายใจเวลาอยู่ที่บ้านนั่นเอง

     นี่ยังไม่นับรวมการยืนยันว่า ผลพวงจากสารพิษที่ตกค้างอยู่ในควันบุหรี่ละเราสูดเข้าไปก็จะไปตกค้างในกระแสเลือด และส่งผลต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย


Cr.ข้อมูลจากนิตยสารชีวจิตฉบับที่ 293

สูดควันบุหรี่บ่อย อันตรายระวังลูกน้อย....

5 พฤติกรรมสุดฮิตของคนติดไลน์ LINE





     ช่วงนี้ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็พบเจอแต่ผู้คนที่ก้มหน้าก้มตาใจจดใจจ่ออยู่กับโทรศัพท์ทุกคนไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่นไปจนถึงคนทำงาน ไม่ต้องแปลใจเพราะเดี๋ยวนี้ใครๆก็ติดแอพฯ LINE กันแทบทุกคน แชทคุยกับเพื่อน เรื่องงาน คุยทั้งวันทั้งคืนจนติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง!! งั้นวันนี้เรามาเช็คกันดีกว่าว่า 5 พฤติกรรมสุดฮิตของคนติดไลน์ LINE มันใช่เราไหม?



1. ตามกระแส
    เวลาเห็นใครใช้อะไรใหม่หน่อยไม่ได้ ฉันต้องตามกระแสบ้าง! ไม่เว้นแม้แต่สติ๊กเกอร์ไลน์ใหม่ๆ พอเห็นเพื่อนส่งมาไม่ได้ต้องรีบโหลดมาใช้บ้าง แต่พอโหลดแล้วเก็บไว้กับตัวได้ไหม? ก็ไม่ได้ แบบนี้มันต้องกดใช้ มันซะเลย แต่ระวังนะเดี๋ยวเพื่อนจะหาว่าเราบ้าเห่อ!! อิอิ


2. รักพี่เสียดายน้อง
    อย่างว่าชีวิตคือการเลือก! เวลาคุยกับเพือนอย่างเมามันส์ หรือประเด็นแซ่บๆทั้งหลาย มนุษย์ที่ชอบคุยคำสติ๊กเกอร์คำ จะเป็นกังวลมากกับการเลือกสติ๊เกอร์ที่สื่ออารมณ์ของเรา ฉันจะเอาอันนั้นหรืออันนี้ดี แบบว่าตัดสินใจไม่ถูก! งั้นใช้หมดเลยละกัน ใช่ไหม?



3. มือโปร .. Professional !

    พวกนี้เรียกได้อีกอย่างว่า พวกสายแข็ง! ใครเขียนอะไรมา งานเข้าแค่ไหน พวกนี้จะมาสามารถตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์ให้เข้าใจได้หมด OMG!


4. พวก Abstract
    ในขณะที่เราคุยกันแบบธรรมดาเรื่องเครียด ปรับทุกข์ อะไรก็แล้วแต่ พวก Abstract ก็จะโผล่ออกมาซึ่งคุยหรือส่งสติ๊กเกอร์ที่ไม่เกี่ยวกับเรืองที่คุยกันอยู่เลย ใครจะคุยอะไรก็คุยกันไป ฉันติสแตก!
5. Read ไม่ รัก
    เชื่อว่าหลายคนเป็น เวลาส่งบทสนทนากับใคร มันจะขึ้นคำว่า “READ” กำกับเสมอนั่นแสดงว่า ข้อความที่เราส่งไปมีคนอ่านแล้วซึ่งตัว READ นี้แหละเป็นตัวฟังก์ชั่นที่สร้างความร้าวฉานตัวดีเลยทีเดียว เพราะบางประโยคที่ไลน์ไปก็เป็นประโยคหวังผลสุดๆแต่ READ แล้วไม่ตอบความรู้สึกของคนส่งจะเป็นแบบว่า Read ไม่รักทันที!!


5 พฤติกรรมสุดฮิตของคนติดไลน์ LINE


"ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา"พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน"

       

               ฉบับที่ 14 ลงวันที่ 30 เมษายน 2559บริเวณประเทศไทยตอนบนยังมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น ซึ่งมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง และมีลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด ยโสธร ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา หนองบัวลำภู บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา จันทบุรี และตราด
              ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุลมแรงที่จะเกิดขึ้น รวมถึงอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงไว้ด้วยลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา คือ เกิดเนื่องจากความแตกต่างของมวลอากาศ โดยบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีน ซึ่งเป็นมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาปะทะกับอากาศร้อนจัดบริเวณประเทศไทยตอนบนประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.00 น.กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไป ในวันที่ 30 เมษายน 2559 เวลา 17.00 น."



"อุตุฯ เตือน ระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน "



ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างทดสอบ ปรับปรุง ตกแต่ง
ถ้าเสร็จแล้วจะเริ่มการโพสนะครับ
ขออภัยในความล่าช้า...มือใหม่หัดโพส^^

ปล.หากใครมีคำแนะนำดีๆ...แนะนำกันมาได้นะครับจะนำมาพัฒนาเว็บให้ดียิ่งขึ้น

ยินดีตอนรับสู้่ สาระUpdate ≧ω≦

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559
0 Comments

- Copyright © 2013 แหล่งรวมข่าวสาร สาระดีๆ และเคล็ดลับโดนๆ - Shiroi - Powered by Blogger - Designed by Johanes Djogan -